วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

[Daomu Fic] Unexpected Journey


Fic - Daomubiji บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน


Unexpected Journey
แก๊งสามเหลี่ยมเหล็ก
หาสาระมิได้ มีแต่มุกกากๆ เวลาอ่านโปรดทำใจ


            ข้างๆ ชมรมผู้ศึกษาตราประทับซีเหลิ่งอิ้งเซ่อ เมืองหังโจว ผมที่กำลังอ่านนิยายเรื่อง “บันทึกนักโบราณคดี” อยู่ ถูกขัดจังหวะโดยชายแก่ตัวเตี้ย ผมขาวโพลนคนหนึ่ง

            “ที่นี่ใช่ร้านรับจ้างสารพัดหรือเปล่า” เขาถามด้วยสำเนียงจีนแปลกๆ

            ผมเหลือบมองแล้วตอบไปอย่างมืออาชีพ “ใช่ แต่ค่าจ้างแพงนะ”

            งานรับจ้างสารพัด หมายถึงต้องทำได้สารพัดอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ งานราษฎร์หรืองานหลวง แต่เนื่องจากคนส่วนมากคิดมักง่ายเกิน งานอะไรที่ขี้เกียจทำหรือไม่อยากทำก็โยนให้ร้านผมหมด หลังๆ มานี้ก็เลยต้องอัพราคาให้คุ้มค่าเหนื่อยบ้าง ถ้ายอมจ่ายหนักผมก็ยินดีรับงาน แม้จะถูกจ้างให้ไปล้างส้วมก็ตาม

            “เรื่องเงินไม่มีปัญหา คุณเรียกผมว่าเหลาต่วนก็ได้ ผมอยากให้คุณตามหาสิ่งของอย่างหนึ่ง” ชายแก่ผมขาวยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ บนกระดาษที่ค่อนข้างเก่ามีรูปที่วาดด้วยสีน้ำมันรูปหนึ่ง เป็นรูปวัตถุทรงกลมขนาดเกือบเท่าฝ่ามือ มีแสงสีขาวเรืองรองดูสวยงามเหมือนเป็นอัญมณีชนิดหนึ่ง สีพื้นหลังเป็นสีโทนเข้ม ช่วยขับให้รูปอัญมณีนั้นเปล่งประกายสมจริงยิ่งขึ้น

            “ผมไม่สามารถหาภาพถ่ายมาได้เลยต้องจ้างคนวาดเอา มันเป็นของโบราณน่ะ คนที่เคยเห็นของจริงมีแต่คนรุ่นปู่ผม แต่ยังไงภาพนี้ก็เป็นภาพที่ใกล้เคียงกับของจริงที่สุด”

            ของโบราณ? ผมนึกถึงไข่มุกราตรีที่สามารถส่องแสงได้ ผมเคยเห็นมันมาก่อน รูปร่างก็ทรงกลมคล้ายกับในรูปวาด ยิ่งนึกดูก็ยิ่งใช่ จึงอ้าปากถามดู “นี่คือไข่...”

            ยังพูดไม่จบ ตาแก่เหลาต่วนก็โพล่งขึ้น

            “มันคือเพชรอาร์เคนสโตน”

            ผมร้อง “หะ?” ออกมาคำหนึ่ง รู้สึกงงงวยอย่างยิ่งยวด ไอ้เม็ดขาวๆ ส่องแสงได้แถมเป็นของโบราณนี่มันก็มีแต่ไข่มุกราตรีไม่ใช่เรอะ

            เหลาต่วนเหมือนไม่ได้สนใจหน้าตางงๆ ของผม พูดต่อไปว่า “ค่าจ้าง ผมให้เท่านี้” เขาชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว หนึ่งแสนหยวนงั้นเรอะ ถึงผมจะเรียกค่าจ้างแพงแต่หนึ่งแสนหยวนมันแพงเกินไปหน่อยหรือเปล่าสำหรับไข่มุกราตรีแค่เม็ดเดียว หรือตาแก่คนนี้เป็นคนมีเงิน ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ไปหาซื้อเอาตามตลาดมืด

            ผมอ้าปากจะถาม เขาก็อธิบายขึ้นมาอีก “หนึ่งล้านสำหรับค่าจ้างของคุณ”

            น้ำลายผมแทบหกออกมาจากปากที่อ้าค้าง ถามเขาทันทีด้วยความสงสัย “หนึ่งล้าน? คุณยอมจ่ายหนึ่งล้านเพื่อไข่มุกราตรีเม็ดเดียวเนี่ยนะ ของแบบนี้ผมหาตามท้องตลาดให้คุณก็ได้ แถมได้มากกว่าหนึ่งเม็ดด้วย”

            เขาสายหัว ยิ้มน้อยๆ บอกว่า “นี่คือเพชรอาร์เคนสโตน เป็นเพชรเพียงเม็ดเดียวที่ส่องแสงเปล่งประกายเป็นพิเศษอย่างไม่มีเพชรเม็ดไหนเทียบได้”

            ผมดูรูปอีกครั้ง ไม่รู้ว่าคนวาดวาดเกินจริงไปหรือเปล่า แต่มันก็เหมือนอัญมณีที่เปล่งประกายเป็นพิเศษจริงๆ นั่นแหละ ดูท่าตาแก่นี่จะหลงใหลในไข่มุกเม็ดนี้มาก ผมทำท่าเออออตามน้ำไป

            “แล้วคุณจะให้ผมเริ่มหามันจากตรงไหน”

            “ผมรู้ว่ามันอยู่ที่ไหนแต่ไม่กล้าเข้าไปเลยมาจ้างคุณ”

            ตาแก่นี่ยอมจ่ายขนาดนี้ไม่ใช่งานหมูแน่ ผมเลยบอกเขาไปว่าต้องขอดูสถานที่และความเสี่ยงก่อนว่าคนของผมจะรับมือได้ไหม

            เหลาต่วนหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วเล่าตำนานของเพชรเม็ดนี้ให้ฟังว่า เพชรอาร์เคนสโตนเป็นสมบัติประจำชนเผ่าเอ่อร์ปัว บรรพบุรุษของเขาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง ผมแอบแปลกใจนิดหน่อยตอนที่ได้ยินเขาเล่าว่าชนเผ่าเอ่อร์ปัวสมัยนั้นอาศัยอยู่ในภูเขาฉางไป๋ซาน ชนเผ่านี้มีความเชื่อว่าเพชรอาร์เคนสโตนมีพลังอำนาจทำให้พวกเขารุ่งโรจน์ พวกเขาขุดพบเพชรเม็ดนี้ใต้ภูเขาฉางไป๋ซานตอนขุดแร่ จากนั้นพวกเขาก็ทำมาค้าขึ้น เข้าสู่ยุคที่รุ่งเรืองที่สุด แต่หลังจากนั้นในช่วงต้นราชวงศ์ชิง ฉางไป๋ซานเกิดแผ่นดินไหวครั้งหนึ่ง รุนแรงพอที่จะทำให้ภายในภูเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง ก๊าซพิษใต้ภูเขาถูกปล่อยออกมาทำให้คนทั้งเผ่าต้องหนีตาย เส้นทางเข้าไปในภูเขาทุกเส้นก็ถูกถล่มปิด เพชรถูกฝังไว้อยู่ในภูเขาปิดตายพร้อมทรัพย์สมบัติทั้งหมดของชนเผ่าเอ่อร์ปัว ผู้ที่รอดชีวิตไม่กี่สิบคนไม่มีใครกลับเข้าไปเพื่อทรัพย์สมบัตินั้น ทั้งหมดลงจากภูเขาแล้วใช้ชีวิตบนตีนเขาแทน

            เหลาต่วนคิดว่านี่เป็นแค่เรื่องเล่าหลอกเด็กเท่านั้น พอโตขึ้นก็หลงลืมเรื่องนี้ไป  แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาปีนขึ้นยอดเขาไปเก็บสมุนไพร เจอหิมะถล่ม โชคดีที่ตัวเขาไม่เป็นอะไร แต่หิมะถล่มนั่นทำให้เขาเห็นรู รูหนึ่งบ่นช่องเขา เหลาต่วนเดินเข้าไปดู พบทางเดินเข้าไปในภูเขา ในช่องทางเดินนั้นมีโครงกระดูกมนุษย์อยู่เต็ม ข้างกำแพงก็เป็นหินแกะสลักลวดลายรูปคนตัวเตี้ยอันเป็นอัตลักษณ์ประจำเผ่าเอ่อร์ปัว เขานึกถึงตำนานเรื่องนั้นแล้วรู้ทันทีว่ามันเป็นเรื่องจริง เขาไม่กล้าเข้าไปจึงรีบลงเขาไปบอกคนอื่นๆ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ถึงจะเชื่อก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยงเข้าไปดู เขาก็เลยมาหาผม

            “ผมเห็นคุณเล่าว่าชนเผ่าคุณหนีตายมา ใช้ชีวิตอยู่บนตีนเขา ดูท่าไม่น่าจะสุขสบายนัก แล้วคุณจะเอาเงินที่ไหนมาจ้างผม” ผมถามตรงๆ การประเมินความเสี่ยงที่จะถูกเบี้ยวค่าจ้างก็เป็นงานผมเหมือนกัน

            ตาแก่หัวเราะในลำคอเบาๆ พูดว่า “เรื่องในอดีตผมไม่รู้หรอก แต่คุณอย่าลืมนะ ว่าตอนนี้ฉางไป๋ซานเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว สมัยนั้นอาจมีคนบุกเบิกภูเขาฉางไป๋ซาน บรรพชนของผมอาจรับจ้างคนขึ้นเขาก็ได้ จากนั้นก็เริ่มทำธุรกิจสร้างที่พักให้นักท่องเที่ยว ทำทัวร์ขึ้นเขา ร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงรุ่นผมเงินหนึ่งล้านก็หาไม่ยากแล้ว ถ้าคุณกลัวผมจะเบี้ยวค่าจ้าง ผมจ่ายมัดจำให้คุณก่อนได้ ทันทีที่คุณตกลงรับงานนี้”

            เห็นผมพยักหน้าอย่างครุ่นคิด เขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “อีกอย่าง ได้ยินว่าทรัพย์สมบัติของชนเผ่าเอ่อร์ปัวที่ถูกฝังอยู่ใต้ภูเขานั่นเป็นทองคำทั้งนั้น แถมมีมากมายมหาศาล คุณจะหยิบมาสักชิ้นสองชิ้นก็ไม่มีใครรู้หรอก”

            ผมมองเขาอย่างสงสัย มีอย่างที่ไหน เจ้าของบ้านแนะให้คนอื่นไปขโมยของในบ้านตัวเอง ถึงจะเป็นบ้านเก่าที่ถูกทิ้งร้างของบรรพบุรุษก็เถอะ

            “แล้วคุณไม่สนใจทรัพย์สมบัติของชนเผ่าคุณเลยหรือ”

            ตาแก่ส่ายหัว “ผมสนใจแค่เพชรเม็ดนี้เท่านั้น คุณแค่เอาเพชรเม็ดนั้นมาให้ผมก็พอ มันน่าจะถูกเก็บอยู่ในคลังสมบัติที่นั่นแหละ”

            ฟังดูเหมือนง่าย แต่ผมย่อมไม่มองข้ามสิ่งสำคัญไปอยู่แล้ว “ความเสี่ยงล่ะ ที่นั่นมีอันตรายไหม”

            ตาแก่พูดยิ้มๆ “คุณฟังที่ผมเล่าแล้วว่าข้างในมีแก๊สพิษ ข้างในภูเขาเป็นบ้านของบรรพบุรุษผม แต่ไม่ใช่บ้านของผม พูดตรงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไรในนั้นบ้าง”

            “แล้วผมพาคนของผมเข้าไปไม่ตายห่ากันหมดหรือ”

            “ผมมีแผนที่โบราณอยู่ เก่าแก่มาก ปู่ผมบอกว่าเป็นแผนที่ในภูเขา ถ้านั่นเป็นของจริงเส้นทางในภูเขาก็ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ ถ้าคุณรับงานผมจะเอาให้คุณดู”

            ผมพยักหน้ารับ บอกตาแก่ว่าขอปรึกษากับคนของผมดูก่อน ให้ทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ ถ้าตกลงรับงานผมจะโทรกลับไป

            ตกเย็น ผมโทรบอกนายอ้วนเรื่องงาน เขาเป็นคนคุยง่ายและเห็นแก่เงิน เขาบอกให้ผมรีบโทรไปรับงานทันทีที่ผมบอกเรื่องจำนวนค่าจ้างกับเขา แต่พอผมพูดเรื่องแก๊สพิษ นายอ้วนก็เงียบไปพักหนึ่ง แล้วพอผมพูดเรื่องทรัพย์สมบัติใต้ภูเขานั่น เขาก็กระตือรือร้นขึ้นมาอีก

            “นายแน่ใจนะ ว่าไม่ได้ถูกตาแก่นั่นหลอกเรื่องสมบัติ”

            “ก็ไม่แน่ มันน่าลองไหมล่ะ”

            “งั้นตกลง! งานนี้เสี่ยอ้วนเอาด้วย!”

            เป็นอันว่านายอ้วนรับงานนี้ ทีนี้ก็เหลืออีกหนึ่งคน...

            ผมมองไปทางชั้นวางของที่อยู่หลังร้าน ชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งเดินออกมาจากตรงนั้นเงียบๆ เขาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ผมไม่รู้ แต่ผมรู้สึกว่าเขาคงได้ยินเรื่องที่ตาแก่พูดหมดแล้ว

            “เสี่ยวเกอ นายจะเอาไง”

            เขาจ้องผมนิ่งๆ อยู่เกือบสิบวินาที แล้วพูดขึ้น “ฉันไม่มีปัญหา”

            ผมนึกแล้วว่าคำตอบของเขาต้องเป็นคำนี้ หมอนี่ก็เป็นแบบนี้เรื่อย ชอบตีหน้าขรึม พูดน้อย วันๆ เอาแต่นั่งเหม่อเป็นเมินโหยวผิง(เรือพ่วงน่าเบื่อ) ผม‘เก็บ’เขาได้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาความจำเสื่อม ไม่มีที่มาที่ไป ผมเห็นเขามี‘ความสามารถ’ ก็เลยรั้งให้เขาอยู่ทำงานด้วย

            แต่ตอนนั้นผมยังไม่รู้ ว่างานนี้จะเป็นงานชิ้นสุดท้ายที่เขากับผมจะได้ทำด้วยกัน




            สองวันถัดมา ผม นายอ้วน และเมินโหยวผิงรวมตัวกันอยู่ที่ตีนเขาฉางไป๋ซานในโรงแรมของเหลาต่วน เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเรามากันแค่สามคน แต่ผมบอกเขาว่าเราเป็นมืออาชีพพอ คนน้อยคล่องตัวกว่า เขาพยักหน้าแล้วจ่ายเงินมัดจำเรามาหนึ่งในสาม บอกว่าถ้าเอาเพชรออกมาได้จะจ่ายที่เหลือให้ แล้วเขาก็เปิดห้องให้เราพักผ่อน เอาแผนที่โบราณมาให้ผมดู และเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างสำหรับขึ้นเขาให้ก่อนออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น

            แผนที่โบราณนั่นเหมือนจะเป็นแผนที่ของจริง ผมเคยทำงานกับของเก่าแบบนี้มาเยอะจึงพอดูออก เส้นทางไม่ซับซ้อนอย่างที่ตาแก่ว่า ทางแยกก็ไม่เยอะ ผมใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็จำได้หมดว่าต้องเลี้ยวแยกไหนบ้างถึงจะไปถึงคลังสมบัติ สถานที่ที่คิดว่าน่าจะเก็บเพชรอาร์เคนสโตนเอาไว้
            วันถัดมา เราเริ่มเดินทางกันตั้งแต่เช้าโดยมีเหลาต่วนเป็นคนนำทาง โชคดีที่บนภูเขาลมไม่แรง ไม่มีพายุ เดินเพียงไม่กี่วันก็พ้นจากจุดที่มีนักท่องเที่ยว แต่อุณหภูมิบนเขาลดลงเรื่อยๆ ทำให้พวกเราเดินกันช้าลงเพราะแข้งขาแข็งไปหมด

            “ไม่เห็นจะบอกก่อนว่าที่นี่จะหนาวขนาดนี้!” นายอ้วนบ่น กอดตัวเองจนกลมป๊อกเหมือนโอ่ง
ขนาดนายยังบ่นหนาว คนอื่นไม่หนาวกว่าหรือไง ผมอยากบอกนายอ้วนไปแบบนั้นแต่พออ้าปากเพียงเล็กน้อยปากก็สั่น ฟันกระทบกันกึกๆ อย่างควบคุมไม่ได้

            เหลาต่วนค่อนข้างท้วม ถึงจะไม่เท่านายอ้วน แต่ก็ดูเหมือนความหนาวไม่ทำให้เขาเดือดร้อนสักเท่าไหร่ นั่นคงเพราะเขาเป็นคนในพื้นที่ เขาหันมามองพวกเราแล้วยิ้มน้อยๆ แล้วบอกให้เราพักกันก่อน

            เราเลือกมุมหนึ่งของกองหินใหญ่เข้าไปนั่งอบอุ่นร่างกาย จุดเตาไร้ควัน พลางทบทวนแผนการกันอีกรอบ

            “ถ้าพวกคุณเร่งฝีเท้ากันหน่อย อีกวันครึ่งก็ถึงรูนั่นแล้ว แต่ถ้าคุณเดินทางช้าลงก็อาจถึงภายในสองสามวัน แต่ดูจากสภาพอากาศ พายุหิมะจะก่อตัวขึ้นในอีก...” เหลาต่วนมองท้องฟ้าแล้วคำนวณ “สามวันนี้แหละ”

            “ถ้าอุณหภูมิยังลดต่ำเรื่อยๆ แบบนี้ คงเร่งฝีเท้าไม่ได้ ทางที่ดีผมว่าพวกเราคงต้องใช้วิธีอื่น” ผมบอก

            ตาแก่เลิกคิ้วข้างหนึ่ง ถามขึ้นว่า “พวกคุณมีวิธีอื่นรึ?”

            ผมไม่ตอบ แต่ยิ้มบางๆ ให้เขา หันไปหาเสี่ยวเกอ บอกเขาว่า “เสี่ยวเกอ เอาคอปเตอร์ไม้ไผ่ออกมาหน่อย”

            เมินโหยวผิงจ้องผมเหมือนจะถามว่าเอาจริงหรอ ผมพยักหน้าให้ เขาก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อฮู้ดตรงหน้าท้อง หยิบอุปกรณ์ที่เป็นเหมือนก้านใบพัดขึ้นมาสี่อัน

            คอปเตอร์ไม้ไผ่เป็นอุปกรณ์พิเศษของเมินโหยวผิง จะเรียกว่าของวิเศษก็ได้ ผมไม่รู้ว่าเขาเอามันมาจากไหน แต่เห็นได้ว่ามันเป็นอุปกรณ์ไฮเทค และช่วยอำนวยความสะดวกได้มาก เขามีอุปกรณ์แบบนี้หลายอย่างแต่เอามาใช้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น เขาบอกว่าเพราะมันไม่จำเป็นต้องใช้

            บางครั้งผมก็เคยคิดว่าก่อนจะความจำเสื่อมกลายเป็นคนเร่ร่อน เมินโหยวผิงอาจทำงานให้องค์กรลับอะไรสักอย่าง หรือเป็นสายลับอะไรทำนองนั้น ผมเคยสืบหาประวัติเขาด้วย แต่ไม่เจออะไรเลย เขาเหมือนไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้ นั่นยิ่งทำให้ผมแน่ใจว่าเขาอาจเป็นสายลับจริงๆ

            ผมส่งคอปเตอร์ไม้ไผ่หนึ่งอันให้เหลาต่วนที่งงเป็นไก่ตาแตก บอกให้ติดไว้ตรงไหนก็ได้แล้วอุปกรณ์จะทำงาน

            “ก็เหมือนกับโดดร่มน่าลุง เพียงแต่เจ้านี่จะลอยขึ้น” นายอ้วนตบไหล่เขา ติดคอปเตอร์ไม้ไผ่แล้วลอยขึ้นเป็นคนแรก

            เหลาต่วนบินได้ทุลักทุเลมาก เขาร้องโวยวายสติแตกตั้งแต่แรกที่ขาลอยจากพื้นหิมะ สองมือกุมฐานคอปเตอร์ที่ติดไว้บนหัว กลัวตกลงไป เขาควบคุมทิศทางไม่ได้ ลอยสูงอย่างเดียว นายอ้วนต้องบินเข้าไปขนาบข้าง จับเขาไว้ เขาจึงนำทางต่อได้

            ขึ้นเขาด้วยคอปเตอร์ไม้ไผ่สบายกว่าเยอะ ตอนพลบค่ำเราขึ้นไปจนเกือบถึงจุดที่ตาแก่บอกว่ามีประตูอยู่ พวกเราอยากจะขึ้นต่อไปอีก แต่ยิ่งสูงลมยิ่งแรงขึ้น พัดเอาพวกเราปลิวไปตามทิศทางลม เมินโหยวผิงบอกว่าแบตเตอรี่คอปเตอร์ไม้ไผ่เริ่มอ่อนแล้ว ต้องลงพื้นแล้วเดินต่อกันเอง

            เหลาต่วนบอกว่าชาตินี้จะไม่ขอเท้าลอยอยู่เหนือพื้นอีกแล้ว พักกันยี่สิบนาทีก็เดินทางต่อ ไหนๆ ก็ใกล้จะถึงแล้ว เราจึงตัดสินใจไปให้ถึงที่หมายก่อนค่อยพักทีเดียว เส้นทางราบรื่นไปตลอดจนฟ้ามืด พวกเรามาถึงหน้ารูที่เหลาต่วนบอก ผมโกยหิมะ ออกเพื่อดูรูที่ว่าให้ชัดๆ มันเป็นช่องหินสี่เหลี่ยมทรงแคบที่สูงเท่าไหล่ผมเท่านั้น เมินโหยวผิงส่องไฟฉายเข้าไป ด้านในเป็นทางตรงลึกเข้าไปในภูเขา มืดมาก ปากทางเข้ามีโครงกระดูกผุๆ กองอยู่เต็ม พวกเราช่วยกันรื้อโครงกระดูกออกมาฝังไว้ข้างนอก แล้วส่องไฟสำรวจเข้าไปในทางเดิน ข้างในมีพื้นที่ไม่มากแต่ก็พอให้นอนเบียดกันได้ ผนังด้านในทั้งสองฝั่งมีภาพแกะสลักพร้อมอักษรประหลาดจำนวนหนึ่งอยู่ด้วย

            ผมตรวจดูผนังเล็กน้อย นายอ้วนจุดเตาไร้ควันตรงทางเดินแล้วเอาอาหารออกมาอุ่นแบ่งกันกิน เราตกลงกันว่าเหลาต่วนจะไม่เข้าไปด้วย เหลาต่วนบอกว่าหลังจากพวกเราเข้าไปแล้ว เขาจะกลับไปรอที่จุดชมวิวของนักท่องเที่ยว ถ้าภายในห้าวันพวกผมไม่กลับลงไป เขาจะขึ้นมาดูใหม่ แล้วเขายังถามเราอีกว่ามีอะไรจะสั่งเสียไหมเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผมด่าเขาในใจว่าตาเฒ่าปากเสีย แต่นายอ้วนฉุนจนด่าเขาออกมาคำหนึ่งแล้วบอกว่าให้เขาเตรียมเงินค่าจ้างที่เหลือรอไว้ได้เลย

            พวกเรานอนพักผ่อนเอาแรง วันรุ่งขึ้นก็แยกกับเหลาต่วน เดินตามทางเดินเข้าไปข้างใน เมินโหยวผิงใช้วิชา‘สองนิ้วสำรวจถ้ำ’ ใช้สองนิ้วที่ยาวเป็นพิเศษสัมผัสกำแพงซ้ายทีขวาทีเพื่อตรวจหากลไกกันขโมย ผมอาศัยจังหวะนี้ส่องกำแพงดูภาพแกะสลัก มันเป็นภาพวาดเล่าวิถีชีวิตของชนเผ่าเอ่อร์ปัว ภาพที่แกะสลักใกล้ๆ ทางเข้าไม่ค่อยมีอะไรตื่นเต้นมากนัก แต่รูปในโถงทางเดินค่อนข้างน่าสนใจ

            รูปที่แกะสลักบนผนังนั้นเป็นรูปคนตัวเตี้ยๆ ป้อมๆ ทำกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่ขุดดิน สร้างที่อยู่อาศัย ขุดแร่ และหลอมแร่ มีภาพที่มีคนลากเกวียนที่บรรจุแร่ไว้เต็มออกจากภูเขา ลงไปตามทางเดินหิมะ แล้วใช้แลกเปลี่ยนกับเสบียงอาหารของชาวเกาหลีที่ตีนเขา ทีนี้ก็รู้แล้วว่าคนในภูเขาพวกนี้อยู่กินยังไง

            ขณะนี้นายอ้วนที่กระหายสมบัติ ร้องเร่งมาจากข้างหลัง เขาอยู่รั้งท้าย เห็นเสี่ยวเกอเดินย่อง ผมก็มองผนัง เดินนวยนาดกันทีละก้าวแล้วทนไม่ไหว

            “เดินเร็วๆ กันหน่อยสิ! น้องเสี่ยวเกอ ถ้าผนังไม่มีกลไกก็เดินตรงไปเลย เพดานนี่ก็ไม่รู้จะต่ำไปถึงไหน เสี่ยอ้วนก้มนานๆ ปวดเมื่อยไปหมดแล้ว”

            “พูดเป็นคนแก่ไปได้ เพิ่งจะเดินเข้ามาแค่ห้านาทีเอง” ผมแขวะเขาไปโดยอัตโนมัติ แต่ก็เร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิด แล้วจู่ๆ เมินโหยวผิงที่เดินนำอยู่ข้างหน้าพลันหยุดกึก ผมจึงต้องหยุดตาม

            “มีอะไรหรอ” ผมถาม นายอ้วนนึกว่าพวกเราเจออะไรเลยชะโงกหน้ามาดูด้วย

            เมินโหยวผิงขยับตัว ส่องไฟฉายเยื้องไปด้านหน้า บนผนังด้านหนึ่งมีรูปแกะสลักรูปใหญ่ มันไม่ใช่รูปเล่าเรื่องวิถีชีวิตของชนเผ่าเอ่อร์ปัวแล้ว แต่เป็นรูปครึ่งตัวของสัตว์ลำตัวยาว มีเกล็ดเล็กละเอียดมาก

            “นั่นมันตัวอะไร” นายอ้วนถาม “เหมือนจะเป็น...งู?”

            “ไม่ใช่ ไม่ใช่งูแน่ๆ” ผมบอก เดินเข้าไปดูภาพบนผนังนั้นใกล้ๆ “ช่องปากเล็กเกินไป มันอ้าปากกว้างแบบงูไม่ได้ แถมยังมีเขี้ยวใหญ่อีกด้วย”

            “งั้นนั่นมันตัวบ้าอะไร”

            ผมตอบนายอ้วนไม่ได้ ผมไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดแบบนี้มาก่อน “สัตว์ลำตัวยาวแถมมีเขี้ยวใหญ่แบบนี้...”

            “มันคือมังกร” เมินโหยวผิงโพล่งออกมา

            มังกร? ผมรู้สึกหนังหัวชาวาบ ตาแก่เหลาต่วนไม่เห็นจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง “หรือว่าชนเผ่าเอ่อร์ปัวบูชามังกร?”

            นายอ้วนร้องเฮอะ “บูชามังกร แต่แกะสลักไว้บนกำแพงแค่ครึ่งตัวอย่างนี้น่ะเรอะ? ไม่ต้องสงสัยเลย ที่แผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิดนี่ต้องเป็นเพราะเทพมังกรพิโรธแหงๆ”

            ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ แต่ก็ไม่รู้จะหาคำอธิบายอะไรมาค้าน จึงไม่ได้โต้ตอบนายอ้วน เมินโหยวผิงเดินต่อไป ผนังสองฝั่งมีรูปแกะสลักลายสัตว์ประหลาดนั่นเต็มไปหมด ไม่มีรูปสลักคนตัวเตี้ยอีกแล้ว
เดินต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็พบอุโมงค์หินดิ่งลาดลงไปข้างล่าง แต่พื้นชันมาก นายอ้วนจึงลงไปก่อน ตามด้วยผมและเมินโหยวผิง ถ้าให้นายอ้วนรั้งท้ายเกิดเขาสะดุดหินล้มกลิ้งขึ้นมาผมคงถูกบี้ตายคาอุโมงค์นี่แน่ๆ

            แต่อุโมงค์นี่ชันมากจริงๆ ชันจนถ้าเกิดล้มกลิ้ง ก็คงกลิ้งไม่หยุดจนกว่าจะถึงปลายทางแน่ๆ

            “เทียนเจิน นายไหวหรือเปล่า หรือว่านายกำลังเล่นสไลเดอร์อยู่” นายอ้วนหันมาแขวะผมเมื่อได้ยินเสียงผมลื่นเป็นครั้งที่สาม

            “ถ้านายไม่เห็นฉันกลิ้งลงไปก็แปลว่าฉันยังไหวอยู่” ผมบอกเขา

            เนื่องจากที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าโบราณ ตลอดทางนอกจากผนังหินธรรมดาก็ไม่เจอสิ่งผิดปกติใดๆ พวกเราเลยคิดว่าไม่น่าจะมีกลไกกันขโมยให้ระแวงนักจึงเร่งฝีเท้าขึ้น ไม่นานอุโมงค์หินก็เปลี่ยนเป็นซอกหินที่แคบลง กว้างเพียงหนึ่งช่วงแขน แต่พื้นกลายเป็นทางราบค่อยเดินสะดวกหน่อย เราเดินกันค่อนวันเพิ่งเจอทางแยกแรกในช่องแคบนั้น ตามเส้นทางที่ผมจำได้ ยังต้องผ่านทางแยกอีกสองครั้ง

            เดินต่อไปอีกหน่อยนายอ้วนก็บอกว่ารู้สึกหายใจไม่สะดวก ผมก็รู้สึกแสบๆ จมูกเหมือนกัน สุดท้ายพวกเราตกลงพักกันก่อน อาการแสบจมูกน่าจะเป็นเพราะก๊าซพิษเจือจางในอากาศทำให้ระคายเคือง ผมหยิบหน้ากากกันแก๊สมาใส่ นายอ้วนหันมาถามผมว่าต้องเดินอีกไกลไหม ผมบอกเขาไปว่าในแผนที่บอกว่าเส้นทางนี้ค่อนข้างยาว ต้องผ่านทางแยกอีกสองครั้ง

            ผมดูนาฬิกา เราออกเดินทางกันตอนบ่าย แต่อยู่ในภูเขาไม่มีแสงจากภายนอก ไม่รู้สึกว่าเป็นตอนกลางวันเลยสักนิด นายอ้วนเดินไปบ่นไปไม่หยุด ผมก็คอยแขวะเขาบ้าง ปลอบเขาบ้าง จนกระทั่งตกเย็น เราสามคนก็พ้นจากทางเดินในซอกหินนั่นออกมาสู่พื้นที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง เราส่องไฟฉายไปรอบๆ แต่กำลังไฟจากไฟฉายส่องไม่พอให้เห็นอะไรเลย ผมลองจุดไฟเย็นแท่งหนึ่งขึ้นมา โยนไปด้านหน้า ก็ยังไม่เห็นอะไร นายอ้วนจึงหยิบปืนพลุออกมายิง ลูกไฟสว่างโร่สะท้อนผนังหินสูง ส่องให้เห็นว่าที่นี่รายล้อมด้วยภูผาหินสูง มีโซ่เหล็กสำหรับปีนป่ายโยงลากจากด้านบนลงมาสู่พื้น

            ลูกไฟค่อยๆ ร่วงลงต่ำ ตอนนั้นเองที่ผมได้เห็นวัตถุกองมหึมาเบื้องหน้า ห่างออกไปประมาณสองร้อยเมตร กองสมบัติมากมายมหาศาลพูนกันอยู่ในหลุมกว้างแห่งหนึ่ง แสงไฟกระทบกับทองคำส่องแสงระยิบระยับตรึงสายตาของผมให้จ้องมองมันเนิ่นนาน จนกระทั่งลูกไฟดับลง ทุกสิ่งกลับสู่ความมืดมิด
พวกเรามาถึงคลังสมบัติแล้ว

            “แม่เจ้าโว้ย!” นายอ้วนร้องออกมาเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเขาก็อึ้งกับภาพที่เห็นเมื่อครู่เหมือนกัน เพียงแต่เขาตั้งสติได้เร็วกว่า ขณะที่ผมยังคงอ้าปากค้าง เขาก็วิ่งไปยังกองสมบัติด้านหน้าแล้ว
            “นายอ้วน!” ผมร้องด้วยความตกใจ แล้วรีบตามเขาไปพร้อมกับเมินโหยวผิง สถานที่แบบนี้บุ่มบ่ามเข้าไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้

            แต่พอมาถึงขอบหลุม เห็นนายอ้วนปีนป่ายขึ้นไปบนกองสมบัติ เลือกแจกันและเหยือกทองคำอย่างสำราญก็โล่งใจไปนิดหนึ่ง อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีกับดักกันขโมย คิดว่านะ

            “นายอ้วน อย่าลืมเป้าหมายที่แท้จริงที่เรามาที่นี่นะ” ผมเตือนเขา ส่วนตัวเองก็จดๆ จ้องๆ รอบตัวอยู่พักหนึ่งให้อุ่นใจแล้วจึงเริ่มเดินวนสำรวจรอบหลุมทองคำนี่บ้าง แสงไฟฉายส่องกระทบเนื้อทองคำเป็นประกายระยิบระยับจนแสบตา

            ถ้าหากเพชรอาร์เคนสโตนอยู่ปนกับกองสมบัตินี้ การหาเพชรหนึ่งเม็ดท่ามกลางภูเขาทองคำกองเบ้อเร่อนี่ต้องใช้เวลากี่วันกันนะ

            ผมกำลังคิดคำนวณพลางมองสำรวจรอบๆ หลุมทองคำ จู่ๆ เสียง ซู่ ก็ดังขึ้นมาจากอีกฟาก เหมือนเสียงคนรื้อกองสมบัติ คงจะเป็นนายอ้วน ผมส่ายหัวไม่สนใจแล้วเดินดูรอบๆ ต่อ สมบัติบางชิ้นมีรูปสลักคนตัวเตี้ยอยู่ด้วย หลุมสมบัตินี้ต้องเป็นทรัพย์สมบัติของชาวเอ่อร์ปัวแน่นอน แต่พวกเขาเอามาเก็บกองไว้ที่เดียวกันหมดนี่เลยหรือ ไม่กลัวโดนปล้นบ้างหรือไงนะ

            ขณะนี้เสียง ซู่ ดังขึ้นอีกครั้ง แถมดังยาวเป็นระลอก เสียงดังหนวกหูมาก ผมอ้าปากจะตะโกนบอกนายอ้วนให้เพลามือหน่อย ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งอุดปากผมจากด้านหลัง ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ

            “อย่าส่งเสียง! ค่อยๆ ก้าวถอยหลัง” เสียงของเมินโหยวผิงเบาหวิวอยู่ข้างใบหู ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว

            เกิดอะไรขึ้น?

            เมินโหยวผิงค่อยๆ ดึงตัวผมให้ก้าวถอยหลังออกห่างจากหลุมสมบัติ มือหนึ่งยังคงปิดปากผมไว้ อีกมือเอื้อมมาปิดสวิตช์ไฟฉายในมือของผม ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความมืดมิดทันที

            ผมถึงกับไม่กล้าหายใจแรง ไม่รู้สถานการณ์ตอนนี้จึงเลือกที่จะอยู่นิ่งๆ เสียง ซู่ จากกองสมบัติยังดังอยู่ต่อเนื่อง และดังเกินกว่าจะเป็นเสียงนายอ้วนคุ้ยสมบัติ

            “มีตัวอะไรบางอย่างอยู่ใต้หลุม” เมินโหยวผิงกระซิบ ปล่อยมือที่ปิดปากผมในที่สุด

            ผมยังไม่กล้าส่งเสียงอะไร รอจนกระทั่งเสียง ซู่ เงียบลง ก็ได้ยินเสียงพ่นล่มหายใจของสัตว์แทน ผมที่อยู่ติดผนังหินถึงกับรู้สึกได้จากตรงนี้ว่าไอ้ตัวที่พ่นลมหายใจอยู่ในหลุมทองคำเป็นสัตว์ที่ตัวใหญ่มหึมา

            นั่นมันตัวบ้าอะไร?

            “ไอ้หยา ไม่ยักรู้ว่าชนเผ่าเอ่อร์ปัวเลี้ยงสัตว์ประหลาดไว้เฝ้าสมบัติด้วย” เสียงนายอ้วนกระซิบอยู่ไม่ไกล ผมรู้สึกฉุนกึก กระซิบด่าเขาไปว่า “นายไปทำอีท่าไหนไอ้ตัวนี้ถึงโผล่มาได้”

            “ฉันแค่หยิบนู่นจับนี่เรื่อยเปื่อย ใครจะไปรู้ล่ะว่ามีไอ้ตัวบ้านี่อยู่ใต้กองสมบัติ!” ท้ายประโยคนายอ้วนส่งเสียงดังไปนิด ผมรู้สึกได้ว่าตัวที่อยู่ในหลุมทองคำขยับหนึ่งที ส่งเสียง ซู่ เบาๆ ท่ามกลางกองสมบัติ ดวงตาสีเหลืองเรืองรองสองจุดที่อยู่ไม่ไกล กำลังจับจ้องมาทางนี้

            นายอ้วนสะดุ้งปิดปากตัวเองทันที

            เจ้าตัวนั้นพ่นลมหายใจแรงๆ หนึ่งทีแล้วเริ่มเคลื่อนไหว ผมสัมผัสได้ถึงแรงสะเทือนบนพื้นเมื่อมันก้าวออกจากหลุม ดวงตาสีเหลืองเรืองรองในความมืดที่กำลังเพ่งมองมาทางนี้ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พร้อมจังหวะก้าวเดินของมันที่พุ่งตรงมา!

            “วิ่ง!” เมินโหยวผิงร้องบอกพร้อมถีบก้นผมจนหน้าทิ่ม ความร้อนที่พวยพุ่งไล่หลังมาทำให้ผมไม่มีเวลาหันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แสงไฟสว่างโร่ขึ้นมาจนผมแสบตา กลิ้งล้มคลุกคลานพยายามวิ่งไปข้างหน้า ในใจนึกคาดโทษเมินโหยวผิงอย่างแค้นเคือง

            หน็อย! ไอ้หมอนี่ ถีบซะเอวแทบหัก!!

            “หมอบ!” เมินโหยวผิงที่นำอยู่ด้านหน้าสั่งอีก ผมล้มตัวลงแนบพื้นทันที เปลวไฟลูกหนึ่งพุ่งผ่านหัวผมไป ความร้อนระอุทำให้เส้นผมและขนบนแขนที่ยกมาบังหัวแทบไหม้ ผมมองลอดใต้รักแร้ตัวเองไปยังจุดกำเนิดไฟ นั่นทำให้ผมตะลึงอีกครั้ง

            สิ่งมีชีวิตใหญ่ยักษ์กำลังโก่งลำคอยาวของมันพ่นเปลวเพลิงออกมา เกล็ดละเอียดของมันสะท้อนแสงไฟส่องประกายระยิบระยับ สัตว์ประหลาดตัวนี้เหมือนกับภาพสลักที่อยู่บนผนังทางเข้าเปี๊ยบ

            สัตว์ตัวใหญ่ลำคอยาว พ่นไฟได้ แถมยังมีสี่ขาและปีกค้างคาวยักษ์คู่หนึ่ง นี่คือมังกรของเผ่าเอ่อร์ปัวงั้นหรือ!

            “พวกนายล่อมันไว้ ฉันจะหาทางจัดการ” เมินโหยวผิงสั่งแล้ววิ่งหายไปในความมืดอีกด้าน ไม่ดูดำดูดีผมกับนายอ้วนที่เกือบถูกย่างเป็นหมู

            มังกรสีขาตัวนี้เอาแต่ไล่เผาผมกับนายอ้วน ไม่ได้สนใจเมินโหยวผิงเลยสักนิดเดียว ทุกครั้งที่มันพ่นไฟจะทิ้งกองไฟไว้หนึ่งจุด อย่างน้อยมันก็ช่วยส่องแสงให้ผมกับนายอ้วนไม่วิ่งไปชนผนังหิน ผมวิ่งอ้อมไปอีกด้านของหลุมสมบัติ หวังใช้ภูเขาทองคำกำบัง แต่เพียงเจ้าตัวนั้นใช้หัวพุ่งชนทีเดียว กองสมบัติก็กระจุยกระจายทันที

            ตาย ตายแน่ ตายแน่ๆ งานนี้!!!

            ผมสาปแช่งตาแก่เหลาต่วนในใจ ตาเฒ่านั่นไม่รู้ว่าจงใจปิดบังหรือไม่รู้จริงๆ ว่ามีไอ้ตัวนี้อยู่ในภูเขานี่ด้วย

            มังกรพ่นลมหายใจเป็นชุด ตั้งท่าเตรียมพ่นไฟอีกครั้ง

            “เทียนเจิน ทางนี้!” นายอ้วนร้องตะโกนแล้ววิ่งเข้าไปในรอยแยกบนผนังด้านหนึ่ง ผมไม่ทันสังเกตว่ามีรอยแยกตรงนี้ด้วย เป็นซอกหินแบบเดียวกับทางที่เราเข้ามาเพียงแต่แคบกว่า ผมวิ่งเข้าไปหลบ หัวมังกรมุดซอกหินเข้ามาไม่ได้ มันจึงพ่นไฟจ่อปากทางเข้า เปลวไฟร้อนระอุพุ่งผ่านช่องแคบลามมาถึงผมแทบจะในทันที ผมร้องลั่นอย่างสติแตก “เข้าไป ถอยเข้าไป!!” พร้อมดันตัวนายอ้วนที่พุงติดช่องแคบให้เข้าไปข้างในอีก

            ยิ่งลึกทางยิ่งแคบ นายอ้วนติดจนขยับไม่ได้ร้องบอกผมให้หยุดดันเขาได้แล้ว ไม่งั้นเขาจะกลายเป็นหมูแผ่นแล้ว ผมจึงหยุด โชคดีที่ซอกนี้ไม่ตันและลึกพอให้หลบ เปลวไฟพุ่งมาไม่ถึงตัวผมแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าคิ้วตัวเองไหม้ไปหน่อยนึงแล้วเช่นกัน

            มังกรโกรธจัด พ่นไฟไม่หยุด ผมเหมือนจะเห็นผนังหินที่โดนความร้อนเริ่มละลาย รู้สึกไม่ปลอดภัยสักนิด ในใจนึกถึงเมินโหยวผิง ภาวนาให้เขาหาวิธีจัดการเจ้าตัวนี้เร็วๆ!

            มังกรพ่นไฟอย่างโกรธเกรี้ยวเป็นครั้งที่สาม ทันใดนั้นก็มีแสงประหลาดวาบขึ้นจากด้านหลังมังกร เปลวไฟมอดลงทันที แม้กระทั่งเสียงคำรามของมังกรก็แผ่วไปด้วย

            ผมจำแสงประหลาดนั่นได้ มีคือแสงจากไฟฉายย่อส่วนของเมินโหยวผิง!

            เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความเงียบ ผมจึงค่อยๆ มุดออกไปจากซอกหิน ส่องไฟฉายไปเห็นเมินโหยวผิงกำลังย่อส่วนมังกรนั่นจนตัวมันเหลือเท่าสุนัข แล้วเขาก็คว้ามันขึ้นมาหย่อนใส่หีบทองคำใบหนึ่ง ปิดล็อคแล้วเก็บไฟฉายย่อส่วนเข้ากระเป๋าเสื้อฮู้ด

            “น้องเสี่ยวเกอจัดการมันแล้วใช่ไหม” นายอ้วนเบียดตัวออกจากซอกหินอย่างลำบาก มองไปที่หีบทองคำที่มีเสียงกุกกักลั่นแล้วพ่นลมหายใจทีหนึ่ง “ตกลงนี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่ มังกรต้องไม่มีปีกไม่ใช่รึ”

            “นี่น่าจะเป็นมังกรของชาวตะวันตก ฉันเดาว่าชนเผ่าเอ่อร์ปัวคงเอาแร่ไปแลกกับไข่มังกรตัวนี้มาแล้วเลี้ยงไว้เฝ้าสมบัติ” ผมบอก

            “ฟังดูน่าจะเป็นของหายาก คงไม่มีอีกตัวหรอกใช่มั้ย งั้นคราวนี้ก็หาอาร์เคนสโตนได้อย่างสบายใจแล้วสินะ รีบลงมือกันเถอะ!” นายอ้วนพูดเองเออเองเสร็จสรรพ พุ่งเข้าใส่กองสมบัติอีกครั้ง ผมกำลังเข้าไปช่วยแต่พลันเห็นเมินโหยวผิงยืนนิ่งไม่ขยับ จ้องเขม็งไปทางซอกหินที่ผมเพิ่งออกมา

            “เสี่ยวเกอ มีอะไรหรือเปล่า” ผมถาม

            เขาขมวดคิ้วจ้องรอยแยกนั่นนิ่ง ผ่านไปสามนาทีจึงพูดว่า “ฉันรู้จักที่นี่”

            ผมงุนงง หมายความว่ายังไง รู้จักที่นี่ เขาเคยมาที่นี่งั้นหรือ?

            ยังไม่ทันถามอะไร เมินโหยวผิงก็พุ่งเข้าไปในรอยแยกนั้นอย่างรวดเร็ว แป๊บเดียวก็หายเข้าไปในความมืด ผมตกใจ หันไปหานายอ้วนที่กำลังมองมาครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจวิ่งตามเมินโหยวผิงไปทันที
            “เฮ้ย พวกนายจะไปไหนกัน!”

            “นายรออยู่ตรงนั้นแหละ!” ผมตะโกนบอกเขา ไล่ตามเมินโหยวผิงต่อไป ตลอดทางแคบผมเห็นเพียงหลังเขาวูบไหวใต้แสงไฟฉายเท่านั้น เขาทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ จนผมกลัวว่าจะถูกทิ้งติดอยู่คาซอกหินจึงรีบไล่ตาม  พอพ้นช่องแคบที่นายอ้วนพุงติดไปได้ ผมก็หลุดออกมาบริเวณที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง เมินโหยวผิงยืนนิ่งอยู่ข้างหน้า

            “เสี่ยวเกอ นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย” ผมเข้าไปหาเขา เขาไม่สนใจผม เอาแต่จ้องเขม็งไปข้างหน้า ผมส่องไฟฉายดูรอบๆ ที่นี่ล้อมรอบด้วยภูผาหินคล้ายเป็นห้องห้องหนึ่งเหมือนกับห้องสมบัติ แต่เบื้องหน้าเมินโหยวผิงคือกำแพงสำริดสีเขียวที่มีรอยแกะสลักแปลกตา

            ทำไมที่นี่ถึงมีกำแพงสำริดได้?

            “ฉันจำได้แล้ว” เมินโหยวผิงพูดขึ้นแล้วหันมามองผม “หน้าที่ของฉัน”

            “อะไรนะ”

            “ฉันต้องเข้าไปในประตูบานนี้” เขาจ้องไปยังกำแพงสำริด ผมส่องไฟฉายดูให้ละเอียดอีกที มันคือประตูจริงด้วย ประตูสำริดบานยักษ์!

            “ทำไมนายต้องเข้าไปด้วย ข้างในคือสถานที่แบบไหน?”

            “ฉันบอกนายไม่ได้ว่ามันเป็นสถานที่แบบไหน ฉันบอกนายได้แค่ว่ามันเป็นสถานที่สำคัญ ฉันต้องไป” น้ำเสียงของเขามุ่งมั่นมากจนผมพูดไม่ออกว่าจะห้ามเขายังไง ผมไม่เข้าใจเขาเลยสักนิดเดียว
จู่ๆ เขาก็โพล่งขึ้น “ลาก่อน” แล้วเดินก้าวเข้าไปใกล้ประตูสำริดนั่น ผมได้ยินเขาขยับกลไกอะไรสักอย่างแล้วประตูบานยักษ์ก็เริ่มเปิดออก

            เดี๋ยวดิ! คิดจะไปก็ไปเลยเรอะ!

            “เดี๋ยว..!” ผมเดินเข้าไปจะคว้าตัวเมินโหยวผิง แต่เขากลับหันมาแล้วใช้สองนิ้วที่ยาวเป็นพิเศษจิ้มลงบนหัวไหล่ซ้ายของผมทันที เหมือนมีสายฟ้าเส้นหนึ่งแล่นผ่านทั่วร่างกายซีกซ้าย ทำให้ผมขยับไม่ได้ เป็นอัมพาตไปครึ่งตัวทันที

            “นาย...”

            “อย่างน้อยนายก็เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงฉันกับโลกใบนี้ไว้ ฉันจะบอกอะไรกับนายอย่างหนึ่ง” เขาจ้องผมนิ่งๆ “ความจริงแล้วฉันเป็นเจ้าแห่งกาลเวลา มีหน้าที่เดินทางข้ามเวลาไปแก้ไขประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาดเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ตอนนี้ฉันต้องเดินทางต่อแล้ว ไม่มีเวลาแล้ว”

            เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเมินโหยวผิงพูดยาวๆ มันทำผมทึ่ง แต่ที่ทำให้ผมทึ่งยิ่งกว่าคือสิ่งที่เขาพูดออกมา

            “...”

            “...”

            “หรือว่า...ชื่อจริงของนาย...คือด็อกเตอร์...”

            “เปล่า ชื่อจริงของฉันคือจางฉี่หลิง”

            “...”

            ผมรู้สึกโลกหยุดหมุน หรือไม่มันก็หมุนย้อนกลับ หรือไม่มันก็หมุนเร็วมากจนผมรู้สึกมึน

            “ลาก่อน ฉันอาจไม่ได้กลับมาอีก” เขาพูดแล้วหันหลังให้ ผมได้ยินดังนั้นก็รู้สึกใจหาย เขาจะไม่กลับมาแล้วหรือ ผมจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วงั้นหรือ

            ผมมีคำพูดมากมายอยากเกลี้ยกล่อมเขาให้อยู่ต่อ แต่เห็นสายตาเขาก็รู้ว่าภาระที่เขาแบกรับอยู่ไม่สามารถทิ้งไปได้ จึงได้แต่ถามเขา “...นี่เป็นการตัดสินใจของนายสินะ”

            เขามองผมแล้วพยักหน้า ผมพูดต่อ “ถ้าหากจะบอกลาฉัน นายต้องบอกลานายอ้วนด้วย ไม่อย่างนั้นเขาจะเสียใจมาก หรือถ้าไม่ก็ไม่ต้องมีคำอำลา เพราะนายจะไม่จากไปไหน ไม่ว่าเราจะห่างกันเพียงสามก้าว หรือเราจะห่างกันคนละซีกโลก นายจะยังอยู่กับพวกเราเสมอ”

            “...”

            “...”

            ผมส่งสายตามิตรภาพสุดซึ้งไปให้เมินโหยวผิง เขาเบิกตาเล็กน้อย จ้องผมนิ่งๆ อยู่ห้านาทีเต็มเหมือนกับอึ้งไป ไม่มีคำพูดใดๆ อีกนอกจากรอยยิ้มที่เขาส่งให้ผม แล้วเขาก็หมุนตัวเดินเข้าไปในความมืดมิดหลังประตูสำริดบานยักษ์นั่น

            จนประตูปิดลง ทุกสรรพสิ่งเหมือนเงียบสงบไปในบัดดล ผมยังยืนแข็งค้างอยู่ตรงนั้นอีกหลายนาทีก่อนอาการชาซีกซ้ายจะหายไป การยืนอยู่คนเดียวในความมืดมิดนานหลายนาทีทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ สุดท้ายก็ข่มใจแล้วเดินกลับไปทางซอกหิน ไปหานายอ้วน

            ขากลับผมเดินได้ช้ามาก พอหลุดออกมาก็รู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง นายอ้วนถามผมว่าเมินโหยวผิงไปไหน ผมตอบไปว่า เขามีงานด่วนเข้ามา ข้ามประตูมิติไปรับจ๊อบแล้ว

            นายอ้วนงุนงง ซักถามผมใหญ่ ผมก็ไม่รู้จะตอบเขายังไงเพราะผมก็รู้สึกไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน จนผมบอกว่า “เขาจากไปเร็วมาก” นายอ้วนจึงหยุดถาม นั่งลงแล้วตบไหล่ผม ไม่พูดอะไร
            เมินโหยวผิงจากไปแล้ว

            ผมเหม่อมองกองสมบัติทองคำที่พูนกันเป็นภูเขาเบื้องหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างสุดซึ้ง

            น่าจะบอกให้เขามาช่วยหาอาร์เคนสโตนก่อน อย่างน้อยสามคนก็ดีกว่าสองคน แถมเขายังมีของวิเศษ ผมกับนายอ้วนมีแค่มือเปล่า แล้วแบบนี้ชาติไหนผมจะหาเพชรเม็ดนั้นเจอล่ะเนี่ย!




(จบเหอะ)
----------------------------------------------


กว่าครึ่งปีที่ไม่ได้แตะต้องหลังจากส่งไปลงฟิคเฟ่งาน dmbjonly ครั้งที่แล้ว......
กลับมาแปะให้คนที่ยังไม่อ่าน หยิบไม่ทัน ไม่ได้หยิบ ไม่ได้ไปงาน ฯลฯ ได้อ่านกันค่ะ พร้อมแปลมุกให้คนที่ไม่เก็ตด้วย (ฮือ555555 ยัดมาซะเยอะ แล้วมุกที่ยัดมาคนธรรมดาก็ไม่น่าจะเก็ตหมดด้วย) 
บอกเลยว่าอัพลงบล็อกครั้งนี้คือ copy and paste ลูกเดียว ไม่ได้อ่านย้อน ไม่กล้ากลับไปอ่านอีกรอบ กลัวอ่านแล้วอยากแก้ อยากลบทิ้ง ฮือ 5555555

มุกในฟิคนะคะ

“บันทึกนักโบราณคดี” - ล้อเลียนเรื่องเต้ามู่ ตอนแรกจะเขียนว่า 'บันทึกรักนักโบราณคดี' แล้ว แต่นายน้อยคงไม่อ่านนิยายรัก...

ร้านรับจ้างสารพัด - ร้านของคุณกินจาก Gintama

เพชรอาร์เคนสโตน - หลายคนคงรู้จัก เพชรประจำตระกูลคนแคระในเรื่อง The Hobbit (เขียนฟิคช่วงพีคฮอบบิทพอดี...)

ชนเผ่าเอ่อร์ปัว - แผลงมาจาก Erebor ค่ะ....จากเรื่องฮอบบิทเช่นกัน

เหลาต่วน - ต่วน แปลว่า สั้น ตั้งใจให้หมายถึงคนแคระ

คอปเตอร์ไม่ไผ่... - คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามาจากไหน...

มังกรมีปีก - แน่นอนค่ะ...มีอาร์เคนสโตนก็ต้องมีสม็อก

ไฟฉายย่อส่วน - ก็มังกรตัวใหญ่...ถ้าให้บู๊คงกินหลายหน้า แถมเขียนฉากบู๊ไม่เก่ง เลยหาอาวุธง่ายๆส่งให้เสี่ยวเกอซะ

ประตูสำริด(ที่กลายเป็นประตูมิติ) - คิดฉากจบอยู่นาน ยัดมุกเห่ยๆมาทั้งเรื่อง จะจบแบบซึ้งๆธรรมดาๆก็ขัดอารมณ์ เลยเปลี่ยนให้ประตูสำริดกลายเป็นประตูมิติ

“...เพราะนายไม่เคยจากไปไหน ไม่ว่าเราจะห่างกันเพียงสามก้าว หรือเราจะห่างกันคนละซีกโลก นายจะยังอยู่กับพวกเราเสมอ” - ประโยคนี้หยิบยืมมาจากประโยคเด็ดท้ายเรื่อง Fast and furious 7 ฉากที่โดมินิค(วิน ดีเซล) พูดกับไบรอัน(พอล วอล์คเกอร์ ที่น้องชายแสดงแทน) ก่อนจะขับรถแยกกันไป (ตอนดูในโรงเราแอบร้องไห้เบาๆ ฮึก)

“ความจริงแล้วฉันเป็นเจ้าแห่งกาลเวลา มีหน้าที่เดินทางข้ามเวลาไปแก้ไขประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาดเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ตอนนี้ฉันต้องเดินทางต่อแล้ว ไม่มีเวลาแล้ว” “หรือว่า...ชื่อจริงของนาย...คือด็อกเตอร์...” - มุกจากด็อกเตอร์ Who (ดักแก่...) คิดว่าไหนๆ ประตูสำริดก็กลายเป็นประตูมิติไปแล้วเลยยัดมุกด็อกเตอร์ฮูมาใส่ด้วยเลยแล้วกัน...


ถ้ามีมุกไหนที่ยังไม่เข้าใจ หรือเราลืมอธิบายมุกไหนไป ถามได้นะคะ จะอีดิตเพิ่มให้ทีหลังค่ะ ฮือ 555555